วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557


                                             งานวิจัย

การพัฒนาสื่อคาราโอเกะ ชุด สิ่งแวดล้อมรอบตัวสำหรับเด็กปฐมวัยที่พูดภาษามลายูท้องถิ่น / ปริญญา สุขศรีใส

http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Ed_Tech/Parinya_S.pdf

การออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อพิพิธภัณฑ์สำหรับเด็ก "บ้านอาจารย์เกริก" / ธนัย เจริญกุล

http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Art_Ed/Thanai_C.pdf

กระบวนการพัฒนาการสื่อความหมายของเด็กปฐมวัยโดยการสร้างเรื่องราว ในกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์ตามแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ / พนิดา ชาตยาภา.
http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Ear_Chi_Ed/Panida_C.pdf

กระบวนการส่งเสริมพฤติกรรมความร่วมมือของเด็กปฐมวัยโดยใช้วิธีการเรียนรู้ แบบหัวเรื่องตามแนวคิดคอนสตรัคhttp://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Ear_Chi_Ed/Sunantha_S.pdf

การศึกษาและวิเคราะห์แนวคิดร่วมสมัยของวรรณกรรมสำหรับเด็กประเภทนิทาน ในหนังสือส่งเสริมการอ่านระดับประถม

http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Ele_Ed/Tachanee_K.pdf

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

                                      บทความ 5 บทความ




สายลมแห่งการให้อภัยและก้อนหินแห่งความทรงจำ


มีคน 2 คนเป็นเพื่อนซี้กัน.. ร่วมเดินทางไปในทะเลทราย… ระหว่างทาง… เกิดทะเลาะกัน เพื่อนคนหนึ่ง..ระงับอารมณ์ไม่อยู่…ตบหน้าอีกฝ่าย เพื่อนที่ถูกทำ ร้าย….เจ็บปวด…แต่ไม่เอ่ยวาจา… กลับเขียนลงบนผืนทรายว่า “วันนี้…ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า”
พวกเขายังคงเดินทางต่อ…กระทั่งถึงแหล่งน้ำ พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำ…แต่เกิดอุบัติเหตุคนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ รีบลงไปช่วยทันที คนรอดตาย…ยังคงไม่เอ่ยวาจา…กลับสลักลงไปบนหินใหญ่…“วันนี้…เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้”
อีกคนไม่เข้าใจ…เลยถามว่า “เมื่อถูกฉันตบหน้า เธอเขียนเรื่องราวลงพื้นทราย แล้วเรื่องที่ได้ช่วยจมน้ำ ทำไมจึงต้องสลักบนหิน”
อีกคนยิ้มพราย…กล่าวตอบ
เมื่อถูกคนที่รักทำร้าย…เราควรเขียนมันไว้บนพื้นทราย ซึ่ง “สายลมแห่งการให้อภัย” จะทำหน้าที่พัดผ่าน ลบล้างไม่เหลือ”
แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย เกิดขึ้นเราควรสลักไว้บน “ก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ” ซึ่งต่อให้มีสายลมแรงเพียงใด ก็ไม่อาจ ลบล้าง ทำลาย



บทความดีๆ ท่านมองตัวเองอย่างไร?


สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการแต่กำเนิด (cerebral palsy) ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามปรกติ และพูดจาไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาเธอสามารถเรียนจบปริญญาเอกจากสหรัฐฯ แล้วแสดงทัศนคติของเธอในที่ต่างๆ เพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้อื่น
ครั้งหนึ่ง เธอรับเชิญไปบรรยายด้วยการเขียน (เธอพูดไม่ได้ต้องใช้วิธีเขียน) หลังบรรยายเสร็จ มีนักเรียนคนหนึ่งตั้งคำถามว่า
“ท่านอยู่ในสภาพนี้โดยกำเนิด แล้วท่านไม่รู้สึกน้อยใจรึ? ท่านมองตัวเองอย่างไร?”
คำถามอันละเอียดอ่อนนี้ สร้างความตะลึงแก่ที่ประชุมไม่น้อย ต่างเกรงว่าคำถามนี้จะทิ่มแทงจิตใจของเธอ ปรากฏว่า เธอหันหน้าไปยังแผ่นกระดาน เขียนตัวหนังสืออย่างไม่สะทกสะท้านว่า
“ฉันมองดูตัวเองอย่างไร?”
เธอหันหน้ายิ้มให้ผู้ร่วมประชุม แล้วเขียนข้อความต่อ
1.ฉันน่ารักมาก
2.ขาฉันเรียวยาวสวยดี
3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง
4.พระเจ้าประทานรักแก่ฉัน
5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้
6.ฉันมีแมวที่น่ารัก
และ….
ขณะนั้น ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจาใดๆ เธอหันกลับมามองดูทุกคน แล้วเขียนคำสรุปบนแผ่นกระดานว่า
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงปรบมือดังสนั่นในที่ประชุมพร้อมทั้งน้ำตาที่สะเทือนใจจากหลายๆคน ณ วันนั้น ทัศนคติเชิงสุขนิยมและบทพิสูจน์ของเธอเพิ่มกำลังใจแก่ผู้คนมากมาย ผู้เป็นโรคสมองพิการผู้นี้คือ น.ส.หวางเหม่ยเหลียน ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตจาก UCLA ผู้เคยจัดนิทรรศการภาพเขียนส่วนตัวหลายครั้งในไต้หวัน
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด” ฉันชอบทัศนคติต่อชีวิตแบบนี้ ซึ่งถูกหลักสุขภาพจิตและสบายใจด้วย ความสุขไม่ได้อยู่ที่คุณครอบครองสิ่งใดมากแค่ไหน แต่อยู่ที่คุณมีทัศนคติอย่างไรในการมองสิ่งต่างๆ



ปลูกอะไร…ก็จะได้อย่างนั้น


นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มแก่ตัวลง และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือ ลูกของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่แตกต่างออกไป
เขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆในบริษัทของเขามารวมกัน และพูดว่า “ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วล่ะ” “และฉันก็จะตัดสินใจเลือกคนหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ” พวกหนุ่มต่างรู้สึกช็อค เขาพูดต่ออีกว่า “วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ นับจากวันนี้ไปอีก 1 ปี และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบโตขึ้น ที่พวกคุณนำมาให้ผม คนที่ผมเลือก จะได้เป็น CEO คนต่อไป”
นักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ จิม เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มๆที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น เขาได้รับเมล็ด มา 1 เมล็ด และนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง ดิน และปุ๋ย เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้ พวกเขาดูแลรดน้ำอย่างดี
ผ่านไปสามสัปดาห์ พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่นได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับและเริ่มเจริญเติบโต แต่จิมก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา .. 3 สัปดาห์ผ่านไป .. 4 สัปดาห์ ผ่านไป.. 5  สัปดาห์ ผ่านไป ก็ยังไม่เห็นอะไรในกระถาง
ตอนนี้หนุ่มๆได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว แต่จิมไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่เห็นต้นไม้ของเขา เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว ผ่านไป 6 เดือน ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ดนั้นไปซะแล้ว
ทุกๆคนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิมที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไป
ผ่านไปครบ 1 ปี ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ CEOได้ตัดสิน… จิมพูดกับภรรยาว่า “ผมจะไม่เอากระถางเปล่าๆใบนี้ไปแน่” ภรรยาบอกเขาว่าให้พูดความจริงออกไปว่ามันเป็นยังไง จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ เข้าไปในห้องที่ได้นัดหมายกันไว้
เมื่อจิมมาถึง เขาแปลกใจมากว่า ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรงกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ
เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆคน จิมได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง “โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน เอาละ หนึ่งในพวกคนจะได้เลื่อนเป็นCEO กันวันนี้แหละ”
พอท่านประธานเห็นกระถางของจิม ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิมขึ้นมาข้างหน้า จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และเขาอาจจะถูกไล่ออก
เมื่อจิมเดินมาหน้าห้อง ท่านประธานก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ” จิมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง ยกเว้นจิม
ท่านมองมาที่จิมและก็ประกาศว่า “CEO คนต่อไปก็คือ……. จิม”
จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO ได้อย่างไร และแล้วท่านประธานก็พูดว่า “เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคน ให้พวกคุณดูแลรดน้ำมันทุกๆวัน แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้ว ดังนั้น มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม นำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผม นี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่าเมล็ดมันไม่งอก พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนน่ะสิ จิมเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผม” “ ดังนั้น ผมจึงแต่งตั้ง จิม ให้เป็น CEO คนต่อไป”
คติธรรม ที่ได้ …
เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดลออ
เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี
ดังนั้น … ตรองดูสักนิดว่าคุณจะปลูกอะไร คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้.

คุณจะเลือกทางไหน ?


มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกันใกล้รางรถไฟ 2 ราง
รางหนึ่งอยู่ในระหว่างการใช้งาน ในขณะที่อีกรางหนึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว
มีเพียงเด็กคนเดียวเท่านั้นที่เล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
ส่วนเด็กที่เหลือนั่งเล่นอยู่บนรางที่ยังใช้งานอยู่
เมื่อรถไฟแล่นมา คุณอยู่ใกล้ๆที่สับรางรถไฟ
คุณสามารถเปลี่ยนทางรถไฟไปยังรางที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อช่วยชีวิตเด็กส่วนใหญ่
แต่นั่นหมายถึงการเสียสละชีวิตของเด็กคนที่เล่นอยู่บนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
หรือคุณเลือกจะปล่อยให้รถไฟวิ่งทางเดิม?
ลองหยุดคิดสักนิด มีทางเลือกใดที่เราสามารถตัดสินใจได้
คุณต้องทำการตัดสินใจก่อนที่จะอ่านต่อไป
รถไฟไม่สามารถหยุดรอให้คุณไตร่ตรองได้
คนส่วนมากอาจเลือกที่จะเปลี่ยนทางรถไฟ และยอมสละชีวิตของเด็กคนนั้น
ผมคิดว่า คุณก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน
แน่นอน ตอนแรกผมก็คิดเช่นนี้เพราะการช่วยชีวิตเด็กส่วนมาก
ด้วยการเสียสละชีวิตเด็กหนึ่งคนนั้นดูสมเหตุผลทั้งทางศีลธรรมและความรู้สึก
แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าเด็กที่เลือกเล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
ที่จริงเขาได้ตัดสินใจถูกต้อง ที่จะเล่นในสถานที่ๆปลอดภัยแล้วต่างหาก
แต่ทว่า เขากลับต้องเสียสละชีวิตให้กับเพื่อนที่ไม่ใส่ใจ และเลือกที่จะเล่นในที่อันตราย
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นรอบตัวเราทุกวัน
ในสถานที่ทำงาน ย่านชุมชน การเมืองโดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย
คนกลุ่มน้อยมักจะถูกเสียสละให้กับผลประโยชน์ของคนหมู่มาก
แม้ว่าคนกลุ่มน้อยจะฉลาด มองการณ์ไกล และคนหมู่มากจะโง่เง่า ไม่ใส่ใจก็ตาม
เด็กคนที่เลือกที่จะไม่เล่นบนรางที่อยู่ในการใช้งานตามเพื่อนๆของเขา
และคงไม่มีใครเสียน้ำตาให้หากเขาต้องสละชีวิตก็ตาม
เพื่อนที่ส่งต่อเรื่องนี้มาบอกว่า เขาจะไม่พยายามเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ
เพราะเขาเชื่อว่าเด็กที่เล่นอยู่บนรางที่อยู่ในการใช้งานย่อมรู้ดีว่า รางนั้นยังอยู่ในระหว่างการ
ใช้งาน
และพวกเขาควรจะหลบออกมาเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหวูดรถไฟ
ถ้าทางรถไฟถูกเปลี่ยน เด็กหนึ่งคนนั้นต้องตายอย่างแน่นอน
เพราะเขาไม่เคยคิดว่ารถไฟจะเปลี่ยนมาใช้เส้นทางนั้น
นอกจากนั้น รางที่ไม่ได้ถูกใช้งานอาจเป็นเพราะรางนั้นไม่ปลอดภัย
ถ้ารถไฟถูกเปลี่ยนเส้นทางมาที่รางนี้ เราทำให้ชีวิตของผู้โดยสารทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย
ในขณะที่คุณพยายามช่วยชีวิตเด็กจำนวนหนึ่งโดยการสละชีวิตเด็กหนึ่งคน
อาจกลายเป็นการสังเวยชีวิตผู้คนนับร้อยก็เป็นได้
เรารู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยากลำบาก บางครั้งเราอาจลืมไปว่า
การตัดสินใจอันรวดเร็วใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
จำไว้ว่า สิ่งที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่นิยมปฎิบัติ
และสิ่งที่เป็นที่นิยม ไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป
ทุกๆคนสามารถทำสิ่งผิดพลาดได้
และนั่นคือเหตุผลที่เขาใส่ยางลบไว้ที่ปลายของดินสอ


มือของแม่…


ภาพหญิงชรา ที่เดินหาบขนมขายอยู่ริมถนน
ทำให้ผมหยุดชะงักอยู่ชั่วขณะ
แม้ว่าแกจะเดินจากไปแล้ว
แต่ภาพหญิงแก่ที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ
เดินฝ่าเปลวแดดออกไปนั้น
ยังคงติดตรึงอยู่ในสายตาของผม จนยากที่จะสลัดออก
มือหยาบกร้านที่มีแต่เส้นเอ็นปูดโปนของหญิงแก่
ทำให้ผมนึกถึงมือของผู้หญิงคนหนึ่ง….
ผู้หญิงซึ่งทำทุกอย่างเพื่อลูกน้อยของตนได้โดยไม่หวังอะไร
นอกจากรอยยิ้มของลูก ….. ผู้หญิงคนนั้น…. คือ แม่ของผมเอง
แม่เป็นแม่ค้า ที่หาบขนมขายอยู่ข้างถนน
วันไหน ขายดี ก็มีเงิน พอจับจ่ายตามอัตภาพ
หากวันไหน ขายไม่ได้ ก็ต้องใช้เงินอย่างกระเบียดกระเสียร
แต่แม่ก็ไม่เคยยอมให้ผมรู้จักกับความหิวโหย
อะไรที่อยากกิน แม่มักหามาให้ผมเสมอ
ไม่ว่าของสิ่งนั้นมันจะทำให้แม่ต้องอดสักกี่มื้อก็ตาม
เวลาที่ผมนั่งกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย แม่มักจะมองดูเงียบๆ
ริมฝีปากของแม่ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุข
ตอนนั้น ผมไม่เคยสนใจเลยว่า
ขนมชิ้นเล็กราคาแพงที่แม่หามาให้นั้น
ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อของแม่กี่หยด
ไม่เคยนึกสงสัยด้วยซ้ำว่า หลังจากที่ผมกินขนมจนอิ่ม
จะมีอะไรเหลือตกถึงท้องแม่ไหม ?
ผมรู้เพียงอย่างเดียวคือ แม่เป็นหญิงแก่ที่หาบขนมขาย……….
…….ยามใดที่มโนธรรมมาย้ำเตือนให้ผม
คิดถึงความเหน็ดเหนื่อยของแม่ สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด
ก็มักจะหลบเลี่ยงความรู้สึกผิดในใจด้วยการบอกว่า
ในเมื่อแม่เกิดผมมา
มันก็เป็นหน้าที่ของแม่ที่ต้องหาบขนมขายเพื่อหาเลี้ยงผม
ถ้าไม่มีอะไรกิน
ขนมที่เหลือจากการขายมันก็ช่วยให้แม่อิ่มได้นี่นา
ยามใด ที่มือนั้นยื่นมาจับต้องดึงผมไปกอดไว้แนบอก
ยามนั้น ผมก็มักจะเบี่ยงตัวหนีด้วยความรู้สึกขยะแขยง
แม้ไม่เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นวาจา แต่แววตาที่ผมแสดงออก
มันก็บอกถึงความรู้สึกภายในอย่างโจ่งแจ้ง
แววตาที่ทำให้แม่ชะงัก แม่มองหน้าผมอย่างเข้าใจ
แล้วก็มีท่าทีงกๆ เงิ่นๆ อย่างคนรู้สึกผิด แม่ไม่พูดอะไรสักคำ
มือหยาบกร้านนั้นกำแน่นค่อยๆ ตกอยู่ข้างลำตัว ไหล่ของแม่ลู่ลง…
หลังจากวันนั้น มือของแม่ไม่กล้าที่จะเอื้อมมากอดผมอีกเลย
….ตอนนั้น ผมรู้สึกสบายใจนะ
ที่ไม่ต้องสัมผัสกับมือที่หยาบกระด้างที่น่ารังเกียจนั่น
…แต่เมื่อ เวลาผ่านไป ผมกลับเกิดความรู้สึกที่ต่างจากเดิม…
จริง ๆ แล้วสิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่ใช้มือหยาบกร้านของแม่หรอก
มือที่เนียนสวยราวกับลูกผู้ดี ของผมต่างหากที่น่าขยะแขยง
ขณะที่มือแม่กร้านเพราะ กรำงานหนักเพื่อเลี้ยงผม
แต่มือที่อ่อนนุ่มของผมไม่เคยทำประโยชน์เพื่อใครเลยนอกจากตัวเอง
น่าขันนะ เมื่อผมเติบใหญ่ และประสบความสำเร็จในชีวิต
หลายครั้งหลายคราที่มีโอกาสจับต้องมือของผู้หญิงมากหน้า
มือที่ นิ่ม หอมกรุ่นกับเล็บเคลือบสีสด
และเรียวปากนุ่มสวยช่างฉอเลาะนั้นไม่ได้ทำให้ผมโหยหาเลยสักนิด
สิ่งที่ผมร่ำร้อง กลับเป็น
มือที่หยาบกระด้างของผู้หญิงเพียงคนเดียว…
ผู้หญิงที่หาบคอนกระจาด
เดินเร่ขายขนมอยู่ข้างถนนเพื่อเลี้ยงลูกชาย
ผู้หญิงไม่ค่อยพูด ที่มักใช้สายตาเฝ้ามองผมอยู่เงียบๆ
สายตาที่สื่อความรู้สึกของแม่คนนึงซึ่งมีต่อลูก
สายตาอ่อนโยนคู่นั้นเหมือนกับจะบอกผมเสมอว่า
ผมคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของแม่…
อาจจะเป็นเพราะพ่อจากไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่นตั้งแต่ผมยังเล็กก็ได้
ทำให้แม่พยามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยความเป็นลูกไม่มีพ่อให้ผม
เท่าที่แม่ค้าหาบขนมขายอย่างแม่จะทำได้
แม่คงกลัวว่าผมจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาเพราะขาดพ่อล่ะมั้ง
แต่แม่ไม่เคยรู้หรอกว่า ในสายตาของผม….ผู้ชายที่ทำให้ผมเกิดมา
ไม่ได้มีความสำคัญกับผมเลยสักนิด….. ผมเกลียดผู้ชายคนนั้น …..
ตาแก่ที่กินเหล้าจนเมา เอะอะ โวยวาย ทำร้ายแม่ผม
หลายครั้งที่ผมเห็นพ่อใช้คำพูดถากถาง ระราน อาละวาดใส่แม่
แม่ผู้น่าสมเพชของผมก็ไม่เคยลุกขึ้นมาต่อต้านเลยสักนิด
แม่มักยอมพ่อเสมอ….. ยอมถูกซ้อมเป็นกระสอบทราย
แล้วก็แอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆ
ยอมทำงานหนักเดินขายของวันละหลายๆ กิโล
เพื่อเอาเงินมาเลี้ยงครอบครัว …….ส่วนเงินเดือนของพ่อน่ะหรือ?
มันจมลงในขวดเหล้าหมดแล้ว
สภาพของแม่ที่ผมเห็น ทำให้ผมได้แต่นึกในใจว่า
ถ้าผมแต่งงาน ผมจะหา เมีย อย่างแม่
แต่ถ้าผมเป็นผู้หญิง
ผมจะไม่ยอมมีชีวิตที่น่าเวทนาแบบแม่ เด็ดขาด!
ผู้หญิงที่ยอมเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ของผู้ชาย
ผู้หญิงที่ยอมให้สามีโขกสับอย่างกับทาสในเรือนเบี้ย
ยอมทำงานบ้านจนดึกจนดื่น
ยอมตื่นแต่เช้ามาทำขนมขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
ยอมแม้กระทั่งให้ผู้หญิงอื่นมาแย่งผัวตัวเองไปต่อหน้าต่อตา
แม่ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น
โดยไม่เคยคิดจะต่อสู้เรียกร้องสิทธิอะไรเลย
แม่มีปากเสียงกับพ่อเพียงครั้งเดียว ตอนที่พ่อจะเอาผมไปอยู่ด้วย
ตอนนั้นผมเห็นแม่สู้ยิบตาราวกับหมาจนตรอกเลยทีเดียว
พ่อยอมให้ผมอยู่กับแม่อย่างไม่คิดจะเยื้อแย่ง
“น้ำหน้าอย่างเธอ จะเลี้ยงลูกได้สักแค่ไหนกันเชียว
อีกหน่อยลูกมันคงต้องหาบขนมขายทั้งชาติ เหมือนเธอนั่นแหล่ะ”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่แม่และผมได้ยินจากปากของพ่อ
มันเป็นคำพูดที่ทำให้แม่ฮึดสู้
แม่ทำงานหนักตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินส่งผมเรียนสูงๆ
ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำให้แม่ผิดหวังเลย
การเรียนของผมอยู่ในขั้นดีเยี่ยมจนได้รางวัลจากทางโรงเรียนเสมอ
เปล่าหรอกนะ ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนเพื่อแม่หรอก
ตลอดเวลาผมไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเพื่อแม่เลยสักครั้ง
แต่ที่ผมตั้งใจเรียน ก็เพราะรู้ว่า….การศึกษาเป็นหนทางเดียว
ที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากบ้านในสลัมโทรมๆ แห่งนี้ต่างหาก
ความทะเยอทะยานในอดีตเป็นแรงผลักดัน
ที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิต
โดยมีโอกาสดี ๆ ที่โชคชะตาหยิบยื่นให้เป็นตัวช่วยสนับสนุน
สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมหลงระเริงอยู่นานทีเดียว
มันทำให้ผมหยิ่งผยอง คิดว่าตัวเองนั้นเก่งกล้า
สามารถก้าวจากจุดศูนย์ขึ้นมายืนผงาดอยู่ได้ด้วยขาตัวเอง
ทั้ง ๆ ที่ ความจริงแล้ว ความสำเร็จของปริญญาระดับด๊อกเตอร์
ที่แปะข้างฝาบ้านของผมนั้นมีแม่อยู่เบื้องหลังเสมอ
แม่ผู้จบ ป. 4 แต่ไม่มีเงินซื้อใบสุทธิ
ขาของผมยืนผงาดออยู่ได้ ด้วยการเหยีบบ่าของแม่โดยแท้
และผมก็ไม่เคยสนใจเลยสักนิดว่า
บ่าที่เหยียบเป็นฐานนั้นจะชอกช้ำเพียงใด
เพราะเจ้าของบ่า ไม่เคยปริปากบอกผมเลย
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร แม่ก็ยังคงเป็นคนพูดน้อยทำมากเสมอ
แม่เป็นผู้ฟังที่ดีมาตั้งแต่ผมยังเด็กแล้ว
ทุกครั้งที่ผมมีความกังวล แม่จะคอยรับฟังเสมอ
เวลาที่ผมระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจ
หลายครั้งที่แม่ฟัง จำนวนเงินที่เด็กชายเอ่ยขอ
ยามต้องการจะซื้อของต่างๆ เพื่อให้มีเหมือนลูกคนอื่น
แม่ไม่เคย แย้ง นิ่ง…ฟัง…
หลังจากวันนั้น แม่ขายของจนค่ำมืดกว่าปกติอยู่หลายวัน
และวันหนึ่งแม่ก็ยื่นเงินให้ผมเพื่อไปซื้อของที่อยากได้
ยามที่ผมรับเงินจากมือของแม่ ผมรู้สึกว่า
มือของแม่หยาบกร้านกว่าเคย….
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก เพราะถึงมือ
มือนี้จะต้องหยาบกร้านเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน
มันก็ยังคงหยิบยื่นมความสะดวกสบายให้ผมได้เหมือนเดิม
และมันก็เป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่ว่ายามที่ผม สุข หรือ ทุกข์
มือของแม่จะอยู่เคียงข้าง คอยช่วยประคับประคองผมเสมอ
ตราบชั่วชีวิตของแม่
จนกระทั่ง วันนี้…
หลายสิ่งในชีวิตของผมเปลี่ยนไป…..
ผมมีชื่อเสียง มีเกียรติยศ มีคนนับหน้าถือตา
มีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันงาม มีเงินทอง
มีมือนุ่มนิ่มของผู้หญิงสวยๆ คอยคลอเคลีย
ทุกสิ่งที่ผมเคยต้องการล้วนมากองอยู่แทบเท้าของผม
แต่สิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดกลับขาดหายไป ณ วันนี้
ข้างกายของผม
ไม่มีมือของแม่…..





                                บันทึกการเรียน ครั้งที่15
                        ประจำวันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม 2557



จัดนิทรรศการสื่อการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย








นำผลงานของแต่ละคนมาจัดแสดงในนิทรรศการ








เดินชมผลงานของตัวเองและเพื่อนๆ










ผลงานของพวกเรา













ประเมินผู้เรียนและผู้สอน












ประโยชน์

ได้ชมนิทรรศการผลงานของตัวเราและเพื่อนๆ
ได้บริจาคสื่อการเรียนที่เราทำให้กับน้องๆต่างจังหวัด
ได้ความร่วมมือความสามัคคีกับเพื่อนๆและอาจารย์ในการจัดนิทรรศการสื่อการเรียนรู้